เที่ยวญี่ปุ่นในวันใบไม้เปลี่ยนสี

Last updated: 22 ธ.ค. 2566  |  12753 จำนวนผู้เข้าชม  | 

เที่ยวญี่ปุ่นในวันใบไม้เปลี่ยนสี

นิกโก้ผลัดใบ

                                                    

ผมได้รับเชิญจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่นให้ร่วมเดินทางมางาน JAPAN TRAVEL MART 2012 ซึ่งเป็นงานท่องเที่ยวระดับชาติ มีบริษัททัวร์ประมาณ 300 บริษัทจากทั่วโลกเข้าร่วมงานนี้ และมีบริษัททัวร์จากประเทศไทยเพียง 26 บริษัทที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงาน ระหว่างวันที่ 19 – 22 พ.ย. 2555 แต่ผมถือโอกาสมาก่อนวันงานเพื่อมาหาสถานที่ท่องเที่ยวและที่พัก ที่น่าสนใจ ให้สมาชิกและแฟนคลับของครอบครัว พาราไดซ์ ฯเรา ได้อัพเดทอะไรใหม่ๆอีกครั้ง คราวนี้ผมเน้นไปที่เรื่องราวของเรียวกังครับ



 16 พ.ย. ผมออกเดินทางจากสถานี ASAKUSA ซึ่งก็อยู่บริเวณวัดอาซะกุสะ โดยรถไฟ มุ่งหน้าสู่สถานี KINUGAWA เมื่อไปถึงที่คินูกาว่า ทางโรงแรม HONKE BANKYU จัดให้ MR. ASANO มารอรับเราถึงชานชลา ทีแรกผมตั้งใจจะไปที่โรงแรมด้วยรถบัสท้องถิ่น เพื่อสัมผัสบรรยากาศแบบนักเดินทางชาวญี่ปุ่นแต่ทางโรงแรมคงเห็นว่าผมไม่ควรนั่งด้วยเพราะเห็นผมเป็น VIP หรือคิดอีกทีคงกลัวผมจะหลงเอาง่ายๆ ก็เลยจัดส่งเจ้าหน้าที่มารับเพื่อความปลอดภัย ผมเดินทางมาถึง Yunishikawa Onsen Village ราว 4  โมงเย็น ทำให้มีเวลาพอที่จะเดินสำรวจหมู่บ้านออนเซนแถบนี้ สักนิดหน่อย ที่ญี่ปุ่นจะมีหมู่บ้านออนเซนมากมายเป็นที่ใฝ่ฝันของคนที่ชอบออนเซน อาทิ BEPPU แถวฟุกุโอกะ หรือจะเป็น HANAMAKI ONSEN แห่งโทโฮกุ  และรวมถึงที่นี่ด้วย ที่ยูนิชิกาว่า ออนเซน เป็นสถานที่อาบออนเซนเก่าแก่มีชื่อเสียงมากว่า 360 ปี และโรงแรมที่เรามาพักนั้นก็เป็นออนเซนที่มีชื่อเสียงที่สุดในย่านนี้

                                                                                                                                                  

ดูจากข้อมูล บริเวณนี้มีโรงแรมที่เป็นเรียวกังสวยๆหลายแห่งแต่ผมเดินสำรวจได้เพียง heikenosho  และ honke bankyu เท่านั้น ก็หมดเวลาแล้วครับ เพราะแต่ละห้องแต่ละส่วนของทั้งสองเรียวกัง ชวนให้ใช้เวลาอยู่นานๆทั้งสิ้น บรรยากาศการจัดวางสิ่งของเครื่องใช้ อีกทั้งเรื่องราวของความเป็นมาของเรียวกังก็เรียกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน อย่างเรียวกัง Honke นี่เจ้าของก็อยู่ในตระกูลซามูไร ดั้งเดิม มีการจัดเก็บชุดซามูไรที่ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น อย่างรูปที่เห็นเป็นชุดของ TAIRA NO TADASANE ตระกูลซามูไรที่มีชื่อเสียงมาก เจ้าหน้าที่หันมาถามผมว่ารู้จักใช่มั๊ย ผมตอบกลับไปทันทีด้วยความภาคภูมิใจว่า ไม่รู้จัก 5555


 
 
 
นอกจากนี้โซนที่เป็นส่วนต้อนรับมีการจัดโต๊ะเก้าอี้ รับแขกด้วยชุดเครื่องไม้โบราณ อย่างโต๊ะที่เรานั่งกินกาแฟระหว่างรอการเช็คอินน์นั้น เป็นไม้ขนาดใหญ่  4 คนโอบ อายุถึง 1,100 ปี โอ้โห....อยากมาลองนั่งดูแล้วใช่มั๊ยล่ะครับ


คุณอาซาโน๊ะ พาผมเดินดูโรงแรมต่อไป คราวนี้เรามาถึงห้องพักแบบห้องสวีทซึ่งรับนักท่องเที่ยวได้ถึง 10 คน  ในห้องนี้จะมีห้องย่อยๆอีก 3 ห้อง การจัดแต่งในแต่ละห้องก็ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่ห้องเดียวสำหรับห้องนี้ค่าใช้จ่าย เพียง 29,000 เยนต่อคน ถ้าใช้อัตตราแลกเปลี่ยนที่ 39 บาทก็ตกราวๆ  11,300 บาทต่อคนต่อคืน รวมอาหาร 2 มื้อ ( เช้าและเย็น ) wowwww ไม่แพงเลยใช่มั๊ยล่ะครับ  (โรงแรมที่นี่ ราคาเริ่มต้นที่ 10,000 เยนต่อคนต่อคืน) ต่อมาเราก็ไปเดินชมห้องออนเซนแบบ PRIVATE ONSEN เป็นห้องสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวห้องนี้รับได้ 7 คน ต่อครั้งครั้งละไม่เกิน 40นาที ค่าบริการ 1,000 เยน ต่อคน  มันเหมาะมากสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างเราๆ ผมเชื่อว่า 95% ของคนไทยที่มาเที่ยวญี่ปุ่น อยากลองอาบออนเซนสักครั้งในชีวิต บางคนมาญี่ปุ่นมากกว่า 10 ครั้ง แต่ไม่เคยลงแช่ออนเซนเลยสักครั้งเดียว ก็ด้วยคำว่าอายคำเดียวเท่านั้นแหล่ะครับ ใจน่ะอยาก แต่ความอายมีมากกว่า



หลังจากเดินสำรวจโรงแรมกันจนอิ่มใจ เค้าก็ปล่อยให้ผมไปอาบน้ำแร่แช่ออนเซนตามสะดวก     ห้องอออนเซน Outdoorของที่นี่ขอบอกว่าบรรยากาศสุดยอดมากๆ ภาษาญี่ปุ่นต้องบอกว่า SUGOI สุโกยย เสียดายอยู่นิดเดียวตรงที่มารยาทของการอาบออนเซนเค้าห้ามนำกล้องถ่ายรูปเข้าไปด้วยเลยอดถ่ายภาพสวยๆภายในออนเซนมาให้ชม 

      

แต่ถ้าท่านลองจินตนาการตามรูปที่ผมนำมาให้ชมสิครับ เบื้องหน้าผมชั่วโมงนี้ แม่น้ำ Yunishigawa ไหลผ่านเอื่ยยๆพอให้ได้ยืนเสียงสายน้ำ ฝั่งตรงข้ามเป็นแนวป่าเล็กๆ  ใบไม้ที่เคยเขียวคลึ้มอย่างในรูปแต่ตอนที่ผมเข้าไปมันเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานไปตลอดแนว ร่างกายผมตั้งแต่คอ ไหล่ ลงไป อบอุ่นด้วยน้ำแร่จากธรรมชาติที่สั่งสมอยู่ใต้ดินนับล้านปี ในขณะที่ใบหน้ารับความเย็นจากอากาศในเดือนพฤศจิกายน ด้วยอุณหภูมิ 2 องศา ว้าววว นั่งไปแอบระแวงไปว่า หากมีสาวน้อยในชุดกิโมโนมายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเจ้าหล่อนคงตกใจกับร่างกายอันสมส่วนของผมมิใช่น้อย   มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาอิจฉากันครับเพราะทุกท่านก็สามารถมาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ได้ที่นี่เช่นกัน ลองหาเวลามาสิครับ



เพลิดเพลินกับการอาบน้ำแร่เรียบร้อยก็ถึงเวลากินข้าวแล้วสิน๊ะ อาหารเย็นวันนี้ผมรับรองว่าถ้าท่านได้มาเห็นเองกับตาท่านจะเชื่ออย่างที่ผมเชื่อว่า ราคา 8,000 – 12,000 บาท ต่อคนต่อคืน รวมอาหาร 2 มื้อ ไม่แพงเลยจริงๆ ลองตามผมไปดูเมนูกันครับ  ที่ Honke Bankyu เรื่องของอาหารเย็นก็เป็นที่ยอมรับกันในบรรดาเรียวกังแถบนี้ว่า จัดได้ดีมากๆ เริ่มจากเมื่อเรานั่งกันเรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะแนะนำรายการอาหารต่างๆสำหรับมื้อนี้ว่ามีอะไรบ้างซึ้งต้องบอกว่าที่วางบนโต๊ะนั้นยังไม่หมดน๊ะครับ เค้าจะมาเป็นทีละชุดๆ อ้อ ลืมบอกไปว่ารูปแบบการกินอาหารเย็นของเราวันนี้เป็นแบบโบราณดั้งเดิมซึ่งตรงใจคุณพระเช่นผมยิ่งนัก



หลังจากแนะนำอาหารและวิธีการกินแล้ว เค้าก็จะเริ่มให้เราซดสาเก DOBURO สาเกที่มีชื่อเสียงที่สุดของย่านนี้ ก่อนเป็นอันดับแรก  ต้องใช้คำว่า "ซด"จริงๆครับ ไม่ใช่ดื่มเพราะท่านดูชามสาเกเอาเองก็ได้ ชามนี้ตามธรรมเนียมของชนชั้นซามูไร เค้าจะให้เราซดจากชามนี้แหล่ะ วนไปจนครบทุกคน นัยว่าเพื่อแสดงความจริงใจ(สมัยก่อนมีการวางยาพิษด้วย) และเพื่อความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน



จากนั้นก็จะกินแล้วน๊ะคร๊าบบบบ “อิตาดากิมัส” อาหารจานแรกที่ผมกินก็คือ ”เมล็ดโซบะ”ต้มซึ่งก็คือความจริงก็คือโซบะที่เราๆท่านๆเคยกินกันนี่แหล่ะครับ ก่อนที่จะไปเป็นเส้นให้ท่านได้เห็นได้กินกัน มันเป็นเมล็ดมาก่อน ที่จริงแล้วต้นสาเกนี่ก็อยู่ในตระกูลหญ้าอย่างหนึ่ง พอไปผ่านกรรมวิธี ตากแห้ง คัดเกรด บด นวด จนกลายมาเป็นเส้นที่คุ้นตา ว่ากันว่าเจ้าเมล็ดโซบะนี่ คุณค่าทางโภชนาการสูงลิบเชียวล่ะและในยุคเอโดะถือว่าเป็นอาหารชั้นสูงกินได้เฉพาะขุนนางและชนชั้นซามูไรเท่านั้น การกินเส้นโซบะของคนญี่ปุ่นให้อร่อย จะต้องใช้ตะเกียบ จับเส้นขึ้นมาแล้วดูดจ๊วบบบบ รูดให้เส้นผ่านลำคอไปโดยไม่ทันได้สัมผัสรสชาด  ยิ่งกินเสียงดังเค้าว่ายิ่งอร่อยได้ใจนัก แต่ผิดกับการกินเมล็ดโซบะต้มโดยสิ้นเชิง คุณอาซาโนะบอกว่าการกินเมล็ดโซบะให้อร่อย เราต้องกินให้ถึงแก่นของมัน เริ่มจากการยกถ้วยขึ้นมาแล้ว วนถ้วยเบาๆ ( เหมือนวนแก้วไวน์ประมาณนั้น ) ตอนนี้เราจะเริ่มได้กลิ่นหอมของเมล็ดโซบะ ดูคล้ายกับกลิ่นถั่วที่โดนคั่วมาจนปริแตกหอมน่ากิน จากนั้นยกขึ้นดื่ม แล้วใช้ลิ้นดันเมล็ดโซบะไปบดกับเพดานปากเบาๆ แล้วปล่อยให้จะละลายลงคอไป เราจะรู้สึกว่ามันหอมและหวานมากๆ ทั้งๆที่น้ำต้มก็น้ำธรรมดาไม่ได้มีการปรุงแต่งรสใดๆทั้งสิ้น คุณอาซาโน๊ะ มาเผยให้ฟังภายหลังว่า ลิ้นคนเราจะมีระบบการทำงานแต่ละส่วนแตกต่างกัน คือ โคนลิ้นทำหน้าที่รับรสขม ส่วนปลายลิ้นก็จะทำหน้าที่รับรสหวาน ดังนั้นตอนที่เราเอาลิ้นบดกับเพดานปากนั้นปลายลิ้นก็จะรับรสหวานของเมล็ดโซบะได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้เรารู้สึกถึงความหวานอย่างแท้จริง  โอวว โนววว ลึกซึ้งแม้กระทั่งการกิน



อาหารจานต่อมาเป็นซาชิมิครับ มาถึงญี่ปุ่นไม่กินซาชิมิกะไรได้ แต่พอคีบเข้าปากแล้วขบเนื้อปลาสีแดงระเรื่อ ก็นึกมีความสุขขึ้นมาทันใด เพราะซาชิมิที่ผมเพิ่งกินลงไปนั้นแท้จริงแล้วมันคือ ซาชิมิเจนั่นเอง  คุณอาซาโน๊ะอธิบายว่า คนท้องถิ่นของ YUNISHIGAWA นิยมทำอาหารจากวัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น และนำมาดัดแปลงให้มีรูปแบบและสีสันแตกต่างออกไป อย่างซาชิมิที่เรากินอยู่นี้ เนื่องจากที่ ยูนิชิกาว่า อยู่ห่างจากทะเลค่อนข้างไกล ดังนั้นชาวชุมชนจึงคิดค้นหาวิธีที่จะได้กินซาชิมิแบบจังหวัดอื่นเขาบ้าง จึงนำพวกมันฝรั่งและแป้งต่างๆมาประดิษฐ์ประดอย จนเป็นซาชิมิอย่างที่เราเห็น ผมบอกคุณอาซาโนะไปว่า บ้านเราในช่วงเทศกาลกินเจ อย่าว่าแต่ซาชิมิเลย หมูเป็นตัวๆ เราก็ทำได้ คุณอาซาโนะทำสีหน้าตกใจแบบไม่อยากเชื่อ 555



อาหารบนโต๊ะมามากมายที่ทยอยมาเสิร์ฟ ผมอยู่เรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงจานเด็ดอีกจานที่ทางโรงแรม HONKE ภูมิใจเสนอ หรืออาจจะบอกว่า TOCHIKI  ภูมิใจเสนอก็คงไม่ผิดนัก นั่นคือ เนื้อโทจิกิ ซึ่งคุณอาซาโนะการันตีความอร่อย แต่เนื่องจากผมเป็นคนไม่กินเนื้อเลยต้องตัดใจแต่น้องทีมงานที่ไปด้วยกันบอกว่าสู้เนื้อฮิดะได้สบายมาก
      

    ญี่ปุ่นขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารทะเลเนื่องเพราะภูมิประเทศส่วนใหญ่อยู่ติดทะเล แต่ยังมีปลาน้ำจืดที่ถือว่าขึ้นชื่อที่สุดในบรรดาปลาน้ำจืดด้วยกันนั่นก็คือ ปลาอะยุ AYU ปลาอายุ เป็นปลาที่รู้จักกันไปทั่วในเรื่องความหวานของเนื้อปลา และยังมีกลิ่นหอมคล้ายแตงกวา หรือ แตงโม ผิวหนังของปลาอายุมีสีขาว สะอาด และไม่มีสารพิษเจือปน นิยมนำมาย่างเกลือ กินเป็นกับข้าวก็ได้เป็นกับแกล้มยิ่งแจ่ม   ซึ่งที่ญี่ปุ่นเราสามารถหากินปลาอายุได้ไม่ยากนักเปรียบไปก็เหมือนปลานิลบ้านเรานี่แหล่ะครับ คือ หาง่ายและอร่อยมาก พูดมาถึงตรงนี้ คุณอาซาโนะ อยากเห็นปลานิลบ้านเราดูบ้าง ผมก็เลยเปิดรูปปลานิลจากกูเกิลให้ดูและบอกว่า ปลานิลนี่มาจากบ้านคุณเลยน๊ะ จักรพรรดิของคุณทรงนำไปถวายคิงส์ของผมกับมือเชียวนา แล้วผมก็เล่าประวัติความเป็นมาของปลานิลให้ญี่ปุ่นฟังว่า

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2508 พระจักรพรรดิ อากิฮิโต  ขณะนั้นยังเป็นมกุฏราชกุมารแห่งประเทศญี่ปุ่น ได้จัดส่งปลานิลจำนวน 50 ตัว มาทูลเกล้าถวายแด่ในหลวง รัชกาลที่ 9 และในหลวงของเราก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ทดลองเลี้ยงในบ่อดินในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตลดา และจากการที่ทรงศึกษาอยู่เป็นเวลาถึง 1 ปี ทรงสังเกตุเห็นว่าปลานิลเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายและโตไว จึงทรงพระราชทานให้กรมประมงนำไปขยายพันธุ์และปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติ จนกลายเป็นปลาเศรษกิจมาจนทุกวันนี้ คุณอาซาโนะ ฟังแล้วถึงกับทึ่ง และบอกผมมาว่า เค้าเป็นคนตกปลาคนหนึ่งแต่บอกตรงๆไม่เคยเห็นปลาหน้าตาแบบนี้ที่ญี่ปุ่นเลย แป่ววววว ผมเลยบอกเค้าไปมา มันมาอยู่บ้านเราจะ 50 ปีแล้ว ออกลูกออกหลานหน้าตาเลยเป็นคนไทยไปแว้วววว

                           

  เช้าวันต่อมาผมอำลา HONKE BANKYU เดินทางสู่นิกโก้ ไปเที่ยวชม ศาลเจ้าโทโชกุ ไปเดินดูใบไม้เปลี่ยนสี พอให้ชื่นใจก่อนที่จะกลับไปโยโกฮามา เพื่อเข้าร่วมงาน  JAPAN TRAVEL MART 2012 แล้วคราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังอีกน๊ะครับ
                               
                  
 
 
 
 
                                     
                             
                                                                                                                                          พระนาย

สนใจโปรแกรมทัวร์ญี่ปุ่น คลิ๊ก

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้